สัญญาการใช้บัตรเครดิต
ในสัญญานี้หากไม่กำหนดไว้โดยเฉพาะเป็นอย่างอื่นแล้ว
"บริษัท" หมายถึง บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด
"บัตร" หมายถึง บัตรเครดิตที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือบัตร (บัตรหลัก) และให้แก่บุคคลตามที่ผู้ถือบัตรหลักร้องขอ (บัตรเสริม)
"ผู้ถือบัตร" หมายถึง ผู้ที่บริษัทได้อนุมัติให้เป็นสมาชิกของบริษัทเพื่อใช้บริการบัตรเครดิตและส่งมอบบัตรเครดิตให้ใช้ในฐานะผู้ถือบัตรหลัก และ/หรือผู้ถือบัตรเสริม
ก่อนการเปิดใช้บริการบัตร การลงลายมือชื่อหลังบัตร และ/หรือการใช้บัตรนี้ ผู้ถือบัตรกรุณาอ่านข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ตามสัญญานี้ให้เข้าใจเพราะโดยการลงลายมือชื่อหลังบัตร การเปิดใช้บริการบัตรและ/หรือการใช้บัตรนี้ของผู้ถือบัตรจะถือว่าผู้ถือบัตรตกลงยินยอมผูกพัน และปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดในสัญญานี้ทุกประการ
1. สิทธิหน้าที่ของผู้ถือบัตร
1.1 บัตรที่บริษัทออกให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทซึ่งมอบให้ผู้ถือบัตรเป็นผู้ใช้เท่านั้น ผู้ถือบัตรจะไม่จำหน่ายหรือโอนสิทธิ์ตามสัญญานี้ให้แก่บุคคลอื่นใด รวมทั้งไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นใดใช้บัตรแทน และ/หรือลงลายมือชื่อแทนในทุกกรณี ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรจะต้องลงลายมือชื่อในช่องที่กำหนดไว้ด้านหลังบัตรทันทีที่ได้รับบัตร โดยการลงลายมือชื่อหลังบัตรและ/หรือการเปิดใช้บัตรนี้จะถือว่าผู้ถือบัตรตกลงยินยอมผูกพันและปฏิบัติ ตามข้อสัญญาต่างๆในสัญญานี้ทุกประการ
1.2 ผู้ถือบัตรสามารถใช้บัตรนี้ในการ (ก) เบิกเงินสดล่วงหน้า (ข) ชำระค่าสินค้า ค่าบริการต่างๆ และ/หรือค่าอื่นใดแทนการชำระเงินสดไม่ว่าจะผ่านทางร้านค้าหรือสถานที่ให้บริการที่มีเครื่องหมายสัญลักษณ์บัตรติดตั้งอยู่ หรือ (ค) ทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ทางเว็บไซต์ โปรแกรมออนไลน์ที่จัดให้มีโดยบริษัท (“โปรแกรม”) ทางโทรศัพท์ ทางไปรษณีย์ หรือทางเครื่องเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ หรือช่องทางอื่นใดตามที่บริษัทจัดให้มีขึ้น ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากบริษัท ทั้งนี้ บริษัทสงวนสิทธิ์ที่จะไม่อนุมัติและ/หรือไม่รับผิดชอบวงเงินจากการใช้บัตรที่เป็นการฝ่าฝืนวัตถุประสงค์การใช้บัตร หรือเป็นการ ฝ่าฝืนตามข้อ 2.1 โดยการทำธุรกรรมต่างๆ ดังกล่าว (รวมถึงการใช้บริการหักชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ผ่านบัญชีบัตรเครดิตของผู้ถือบัตร) ผู้ถือบัตรตกลงให้ข้อสัญญาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมต่างๆ ดังกล่าว (ถ้ามี) ไม่ว่าจะมีการลงนามโดยผู้ถือบัตรหรือไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาฉบับนี้ และตกลงยอมรับในข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ที่ระบุในสัญญาดังกล่าวทุกประการ
1.3 ในกรณีที่ผู้ถือบัตรใช้บัตรแทนการชำระเงินเกินกว่าวงเงินที่บริษัทกำหนดโดยได้รับอนุมัติจากบริษัทเป็นครั้งคราว ไม่ถือว่าการอนุมัตินั้นเป็นการเพิ่มวงเงินถาวรให้ผู้ถือบัตร และผู้ถือบัตรต้องชำระส่วนที่เกินวงเงินที่ได้ใช้ไปให้กับบริษัทตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด
1.4 ในกรณีที่บริษัทอนุมัติออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลัก ผู้ถือบัตรหลักตกลงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงดอกเบี้ย เบี้ยปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ) ที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลมาจากการที่บริษัทออกบัตรให้แก่ผู้ถือบัตรเสริมและ/หรือการใช้บัตรของผู้ถือบัตรเสริมตามที่ผู้ถือบัตรหลักร้องขอโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดเรื่องความสามารถทางกฎหมายของผู้ถือบัตรเสริมและจะไม่ยกข้อจำกัดดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธความรับผิดดังกล่าวหรือเป็นข้อโต้แย้งสิทธิ์ของบริษัทในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเช่นว่านั้นทั้งหมดจากผู้ถือบัตรหลัก และผู้ถือบัตรหลักตกลงว่าการใช้บัตรของผู้ถือบัตรเสริมเป็นการกระทำภายใต้อำนาจของผู้ถือบัตรหลักทุกประการโดยผู้ถือบัตรหลักจะไม่ปฏิเสธความรับผิดใดๆ ที่เกิดจากการใช้บัตรของผู้ถือบัตรเสริมไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม นอกจากนี้ผู้ถือบัตรเสริมตกลงรับผิดร่วมกันกับผู้ถือบัตรหลักในฐานะลูกหนี้ร่วมเพื่อชำระเงินค่าสินค้าและ/หรือบริการอันเกิดจากการใช้บัตรรวมทั้งดอกเบี้ย เบี้ยปรับ และค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้แก่บริษัท ทั้งนี้ ในกรณีที่บริษัทติดตามหนี้จากผู้ถือบัตรหลักหรือผู้ถือบัตรเสริมรายใดรายหนึ่ง ไม่ถือเป็นการตัดสิทธิ์บริษัทในการติดตามหนี้จากผู้ถือบัตรที่เหลือจนกว่าบริษัทจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนหมดสิ้นแล้วทั้งจำนวน
1.5 ผู้ถือบัตรสามารถใช้บัตรนี้เบิกถอนเงินสดโดยวิธี (1) ทำธุรกรรมผ่านระบบโทรศัพท์อัตโนมัติตามหลักเกณฑ์ในข้อ 5 ของสัญญานี้ (2) เบิกถอนผ่านเครือข่ายของ VISA/MASTERCARD/JCB โดยการเบิกถอนเงินสด ณ เคาน์เตอร์ที่มีเครื่องหมาย VISA/MASTERCARD/JCB และ/หรือ (3) เบิกถอนจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) หรือ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของสถาบันการเงินที่มีเครื่องหมาย VISA/PLUS/MASTERCARD/CIRRUS/ATM POOL/JCB หรือจากเครื่องฝากถอนอัตโนมัติที่บริษัทจัดเตรียมไว้ ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 6 ของสัญญานี้ โดย
(ก) ผู้ถือบัตรตกลงปฏิบัติตามสัญญาฉบับนี้และยอมรับการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดใดๆ ที่อาจมีขึ้นเป็นครั้งคราว
(ข) สำหรับกรณีการทำธุรกรรมผ่านระบบโทรศัพท์หรือทางเครื่องฝากถอนอัตโนมัติ หรือช่องทางอื่นใด ผู้ถือบัตรสามารถกำหนดเลขรหัสประจำตัว (Personal Identification Number หรือ PIN) ด้วยตนเองตามวิธิการที่บริษัทกำหนด หรือที่บริษัทจัดส่งให้กับผู้ถือบัตรตามที่ผู้ถือบัตรร้องขอ (ซึ่งผู้ถือบัตรสามารถเปลี่ยนแปลงรหัสดังกล่าวได้) หรือที่ผู้ถือบัตรลงทะเบียนได้มา หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าโดยอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของจำนวนเงินและจำนวนครั้งที่เบิกถอน ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรต้องระมัดระวังป้องกันมิให้ผู้อื่นทราบ หรือล่วงรู้เลขรหัสประจำตัวได้
(ค) ในการเบิก ถอนเงินสดไม่ว่า โดยวิธิหนึ่งวิธีใดตาม ที่ระบุข้างต้น ผู้ถือบัตรตกลงให้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของผู้ถือบัตร
(ง) ผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทคิดค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดในอัตราที่บริษัทกำหนด ซึ่งบริษัทจะประกาศให้ทราบเป็นคราวๆ ไป แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่บริษัทจะเรียกเก็บได้ตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสามารถใช้บัตรเบิกถอนเงินสดได้เป็นจำนวนไม่เกินวงเงินเบิกถอนเงินสดที่บริษัทกำหนด สำหรับการเบิกถอนเงินสด ณ เคาน์เตอร์ที่มีเครื่องหมาย VISA / MASTERCARD/JCB จำนวนเงินที่จะเบิกได้จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ผู้ให้บริการนั้นๆ เป็นผู้กำหนด
1.6 นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ตามข้อ 2.2 ผู้ถือบัตรตกลงว่าวงเงินของบัตรเครดิตรวมถึงวงเงินเบิกถอนเงินสดที่บริษัทอนุมัติให้ผู้ถือบัตรนั้นเป็นวงเงินที่บริษัทสามารถทำการพิจารณาเปลี่ยนแปลง (ไม่ว่าปรับเพิ่มหรือลด) ในภายหลังได้ตามหลักเกณฑ์ของบริษัท โดยบริษัทจะดำเนินการทบทวนวงเงินของผู้ถือบัตร และสงวนสิทธิ์ที่จะปรับเพิ่มหรือลดวงเงินบัตรเครดิตและ/หรือวงเงินเบิกถอนเงินสดของผู้ถือบัตร (รวมถึงการยกเลิกวงเงินเบิกเงินสด) ภายใต้หลักเกณฑ์และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผู้ถือบัตร ลักษณะการใช้บัตรประวัติการชำระเงิน และ/หรืออายุการเป็นสมาชิกบัตรของผู้ถือบัตร โดยผู้ถือบัตรสามารถทำการตรวจสอบวงเงินเบิกเงินสดของผู้ถือบัตรได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าของบริษัท และ/หรือช่องทางอื่นใดที่บริษัทกำหนด
1.7 ในการใช้บัตรแทนการชำระเงินสดนั้น ผู้ถือบัตรต้องตรวจสอบสินค้า/บริการ และยอดที่ต้องชำระว่าถูกต้อง แล้วจึงดำเนินการตามขั้นตอนการใช้บัตรชำระแทนเงินสดตามที่บริษัทและ/หรือร้านค้ากำหนด โดยผู้ถือบัตรจะต้องลงลายมือชื่อในเอกสารการขายหรือการให้บริการ (Sales Slip) หรืออุปกรณ์อื่นใดตามแบบที่บริษัทกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานในการใช้บัตรแทนการชำระเงินทุกครั้ง เว้นแต่กรณีที่บริษัทหรือสถานประกอบการกำหนดไว้เป็นการเฉพาะว่าไม่ต้องลงลายมือชื่อในเอกสารการขายหรืออุปกรณ์อื่นใด (แล้วแต่กรณี) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ผู้ถือบัตรยอมรับว่าเป็นการใช้บัตรชำระแทนเงินสดโดยสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรอาจขอรับใบเสร็จรับเงินจากสถานประกอบการได้ แต่ใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไม่ถือเป็นหลักฐานการชำระเงินของผู้ถือบัตรต่อบริษัท และไม่เป็นการปลดเปลื้องภาระรับผิดชอบของผู้ถือบัตรที่จะต้องชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้แก่บริษัทจนครบถ้วน
1.8 ในกรณีที่ผู้ถือบัตรสั่งซื้อสินค้าโดยใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าหรือค่าใช้บริการโดยการแจ้งหมายเลขบัตรเครดิตด้วยวาจาหรือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ผู้ขายสินค้าหรือแก่ผู้ให้บริการเพื่อทำการเรียกเก็บเงินจากบริษัท ผู้ถือบัตรตกลงดังนี้
(ก) หากเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านเว็บไซต์หรือระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ผู้ถือบัตรตกลงยอมรับรายการที่เกิดขึ้น หากได้มีการกรอกข้อมูลและปฏิบัติตามวิธีการซื้อขายที่ถูกต้องดังที่ระบุในเว็บไซต์นั้นๆ เว้นแต่ผู้ถือบัตรสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เป็นผู้ทำการซื้อสินค้าหรือบริการดังกล่าว หากได้ถูกเรียกเก็บเงินและผู้ถือบัตรได้ชำระเงินแล้ว บริษัทจะคืนเงินให้ผู้ถือบัตรตามวิธีการที่บริษัทกำหนด
(ข) หากเป็นการทำรายการผ่านช่องทางอื่นนอกจากข้อ 1.8(ก) ผู้ถือบัตรมีสิทธิ์ขอยกเลิกการซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในระยะเวลา 45 วัน นับแต่วันที่สั่งซื้อหรือขอใช้บริการ หรือภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการกรณีที่มีการกำหนดระยะเวลาส่งมอบสินค้าหรือบริการเป็นลายลักษณ์อักษรหากผู้ถือบัตรพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือไม่ได้ขอใช้บริการ หรือเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าแต่ได้รับไม่ตรงตามกำหนดเวลา หรือได้รับแล้วแต่ไม่ครบถ้วนหรือชำรุด บกพร่อง หรือไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ บริษัทจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตร หรือกรณีเรียกเก็บเงินไปแล้วถ้าเป็นการสั่งซื้อสินค้าภายในประเทศ บริษัทจะคืนเงินให้ผู้ถือบัตรภายในระยะเวลา 30 วันนับแต่วันที่ผู้ถือบัตรแจ้ง ถ้าเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ บริษัทจะคืนเงินให้ภายในระยะเวลา 60 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากผู้ถือบัตร เว้นแต่บริษัทพิสูจน์ได้ว่าภาระหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของผู้ถือบัตรเอง โดยบริษัทจะใช้สิทธิเรียกเก็บเงินคืนจากผู้ถือบัตรในภายหลังโดยผู้ถือบัตรตกลงที่จะรับผิดในดอกเบี้ยและ/หรือ ค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าวด้วย
1.9 ผู้ถือบัตรตกลงชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรตามอัตราและวิธีการที่ได้ตกลงไว้กับบริษัท โดยบริษัทจะจัดทำใบแจ้งยอดบัญชี (ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของใบแจ้งยอดปกติหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) เพื่อแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบเป็นรายเดือนโดยจะส่งใบแจ้งยอดบัญชีดังกล่าวให้ผู้ถือบัตรทราบทางไปรษณีย์ หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และ/หรือให้ผู้ถือบัตรทำการตรวจสอบจากเว็บไซต์หรือโปรแกรมของบริษัท และ/หรือ ช่องทางอื่นใดที่บริษัทจัดทำขึ้นเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 วันล่วงหน้าก่อนวันถึงกำหนดชำระ และผู้ถือบัตรตกลงชำระเงินค่าสินค้า ค่าบริการ หนี้อื่นใดอันเกิดจากการใช้บัตร โดยผู้ถือบัตรหลักและ/หรือผู้ถือบัตรเสริม รวมทั้งค่าธรรมเนียมอื่นๆ ให้บริษัทภายในวันที่กำหนดในใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต ยอดเงินขั้นต่ำที่แสดงไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตจะเป็นยอดเงินขั้นต่ำที่ผู้ถือบัตรต้องชำระในแต่ละเดือน ในกรณีที่ผู้ถือบัตรเห็นว่าใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตที่ได้รับไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ว่าด้วยประการใด ผู้ถือบัตรจะต้องปฏิบัติ ดังนี้
1. ทักท้วงภายใน 10 วันทำการนับตั้งแต่วันที่ผู้ถือบัตรได้รับใบแจ้งยอดบัญชีจากบริษัทและ/หรือวันที่บริษัททำการแจ้งให้ท่านตรวจสอบข้อมูลใบแจ้งยอดบัญชีจากเว็บไซต์หรือโปรแกรมของบริษัท และ/หรือ ช่องทางอื่นใดที่บริษัทจัดทำขึ้น ในการพิจารณาวันครบกำหนดดังกล่าว หากเป็นการจัดส่งทางไปรษณีย์ บริษัทจะนำสืบวัน เวลา ที่นำส่งใบแจ้งยอดบัญชีให้แก่ผู้ขนส่ง หรือหากเป็นการจัดส่งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) บริษัทจะนำสืบวัน เวลาที่ส่งใบแจ้งยอดบัญชี
2. ในกรณีที่บริษัทตรวจสอบแล้วเห็นว่ารายการในใบแจ้งยอดบัญชีนั้นถูกต้องแล้ว ผู้ถือบัตรจะต้องพิสูจน์ว่ารายการและยอดค่าใช้จ่ายตามที่ปรากฎในใบแจ้งยอดบัญชีไม่ถูกต้องและความไม่ถูกต้องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดหรือความบกพร่องของผู้ถือบัตรเอง ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรจะต้องทักท้วงภายในระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ผู้ถือบัตรได้รับในใบแจ้งยอดบัญชีจากบริษัท ทั้งนี้ ในกรณีผู้ถือบัตรต้องการสำเนาใบแจ้งยอดบัญชี เพื่อตรวจสอบรายการที่เกิดจากการใช้บัตร ผู้ถือบัตรตกลงจ่ายค่าธรรมเนียมการออกสำเนาใบแจ้งยอดบัญชีในอัตราที่บริษัทกำหนดให้แก่บริษัท
1.10 ผู้ถือบัตรรับทราบและตกลงว่าค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกิดจากการใช้จ่ายผ่านบัตร (รวมถึงการเบิกเงินสด) เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจะถูกเรียกเก็บเป็นเงินบาทไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนที่บริษัทถูกเรียกเก็บจากบริษัทบัตรเครดิตที่บริษัทเป็นสมาชิกอยู่ ณ วันที่มีการเรียกเก็บยอดค่าใช้จ่ายดังกล่าวกับบริษัท ทั้งนี้ หากสกุลเงินต่างประเทศดังกล่าวไม่ใช่เป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ยอดค่าใช้จ่ายดังกล่าวอาจจะถูกแปลงเป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐก่อนที่จะทำการแปลงเป็นสกุลเงินบาทเพื่อเรียกเก็บกับบริษัท ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อใช้ในการอ้างอิงเบื้องต้นได้จาก VISA: http://corporate.visa.com /pd/ consumer_services / consumer_ex_rates.jsp นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรรับทราบและตกลงให้บริษัทคิดค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินดังกล่าวในอัตราไม่เกินร้อยละ 2.5 จากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากการแปลงสกุลเงินดังกล่าวข้างต้น
1.11 ในกรณีที่บัตรสูญหาย ถูกโจรกรรม หรือมีการทำธุรกรรมผ่านบัญชีบัตรโดยบุคคลอื่น (ไม่ว่าโดยการใช้บัตรหรือไม่ก็ตาม) ผู้ถือบัตรจะต้องแจ้งให้บริษัททราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวทันทีเพื่อทำการระงับการใช้บัตรและยกเลิกรหัสประจำบัตร โดยหลังจากบริษัทได้รับแจ้งแล้วบริษัทจะระงับการให้บริการบัตรดังกล่าวภายใน 5 นาที นับแต่เวลาที่ได้รับแจ้ง ซึ่งผู้ถือบัตรตกลงรับผิดในจำนวนภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนมีการแจ้งดังกล่าว (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า) ทั้งนี้ หากบริษัทไม่ได้รับแจ้งดังกล่าวข้างต้นและมีผู้อื่นนำบัตรไปใช้ ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบชดเชยใช้หนี้ตามรายการที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผู้ถือบัตรอาจได้รับความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติมจากการเป็นสมาชิกบัตรบางประเภท ซึ่งผู้ถือบัตรสามารถตรวจสอบความคุ้มครองได้จากคู่มือสิทธิประโยชน์ หรือเว็บไซต์ หรือช่องทางอื่นใดที่บริษัทกำหนด ในกรณีที่บริษัทตรวจสอบและพิสูจน์ในภายหลังได้ว่าภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นดังกล่าว (ไม่ว่าก่อนหรือหลังการแจ้ง) เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรมีส่วนรู้เห็นด้วย ผู้ถือบัตรตกลงรับผิดชอบในหนี้จำนวนดังกล่าวเต็มจำนวน ในกรณีที่ผู้ถือบัตรต้องการให้บริษัทออกบัตรให้ใหม่ ผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตร (ในส่วนที่ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบ) และผู้ถือบัตรจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการออกบัตรใหม่ในอัตราที่บริษัทได้แจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบ และหากผู้ถือบัตรพบบัตรที่สูญหายหรือได้รับบัตรที่สูญหายคืน ผู้ถือบัตรจะทำลายบัตร เพื่อป้องกันมิให้มีการนำบัตรไปใช้ได้อีก
1.12 ผู้ถือบัตรให้ความยินยอมแก่บริษัทและบริษัทข้อมูลเครดิต บริษัทประมวลผลข้อมูลเครดิตอื่นๆ ที่บริษัทเป็นสมาชิกอยู่ทำการเปิดเผย แลกเปลี่ยน โอน และ/หรือ ส่ง หรือส่งไปยังต่างประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลีย และอินเดีย ซึ่งข้อมูลส่วนตัว และ/หรือข้อมูลเครดิต และ/หรือข้อมูลอื่นใดที่มีอยู่ในใบสมัคร หรือการสื่อสารใดๆ ที่มีอยู่กับบริษัท บริษัทข้อมูลเครดิต บริษัทประมวลผลข้อมูลเครดิตอื่นๆ ธนาคาร สถาบันการเงินและนิติบุคคลอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกบริษัทข้อมูลเครดิต บริษัทประมวลผลข้อมูลอื่นๆ บริษัทแม่ และบริษัทในเครือของบริษัท เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทและผู้ถือบัตร เพื่อสนับสนุนการให้บริการของบริษัท และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการติดตามทวงถามหนี้ ซึ่งหากผู้ถือบัตรไม่ยินยอมดังกล่าว อาจกระทบต่อการดำเนินการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ และ/หรือจะทำให้ไม่สามารถให้บริการได้อย่างเป็นธรรมและต่อเนื่อง เช่น การเปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของลูกค้าทางดิจิทัล การพิจารณาสินเชื่อ การทบทวนสินเชื่อ หรือการประเมินเครดิตของผู้ถือบัตรแก่บริษัทในเครือ การเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ให้บริการภายนอก หรือ ตัวแทนของบริษัท หรือผู้ให้บริการสนับสนุนการประกอบธุรกิจ หรือผู้รับจ้างช่วงงานต่อ เพื่อให้บุคคลดังกล่าวดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทได้ พันธมิตร ร้านค้า และพันธมิตรทางธุรกิจที่ออกผลิตภัณฑ์ร่วมกันในลักษณะ co-brand และ/หรือ บุคคลอื่นใดตามที่จำเป็นและเกี่ยวข้อง หน่วยงานราชการตามกฎหมาย ในกรณีที่ผู้ถือบัตรได้ปิดบัญชี หรือยกเลิกการใช้บริการของบริษัทไปแล้ว ให้บริษัทสามารถจัดเก็บหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลเครดิต และ/หรือข้อมูลอื่นใดที่อยู่ในใบสมัครและฐานข้อมูลของบริษัท เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทสามารถนำผลการตรวจสอบดังกล่าวมาใช้ในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ถือบัตรว่ามีลักษณะเข้าข่ายกรณีต่างๆ ตามข้อ 2.2 หรือไม่
1.13 ผู้ถือบัตรยินยอมให้บริษัทเปิดเผย แลกเปลี่ยน ส่ง และ/หรือ โอนข้อมูลของผู้ถือบัตรที่ให้ไว้กับบริษัท ทั้งในใบสมัคร หรือทางการสื่อสารใดๆ ตลอดจนข้อมูลใดๆ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ที่อยู่ และ/หรือที่อยู่จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail address) และ/หรือช่องทางอื่นใดของผู้ถือบัตร ข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินของผู้ถือบัตร แก่บริษัทในเครือ ผู้ให้บริการภายนอก หรือตัวแทนของบริษัท หรือผู้ให้บริการสนับสนุนการประกอบธุรกิจ หรือผู้รับจ้างช่วงงานต่อ เพื่อให้บุคคลดังกล่าวดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทได้ พันธมิตร ร้านค้า และพันธมิตรทางธุรกิจที่ออกผลิตภัณฑ์ร่วมกันในลักษณะ co-brand และ/หรือบุคคลอื่นใดตามที่จำเป็นและเกี่ยวข้อง หน่วยงานราชการตามกฎหมาย รวมทั้งการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการติดต่อสื่อสารหรือการส่งใบแจ้งหนี้หรือส่งข้อมูลหรือเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลเครดิตแก่ผู้ถือบัตรผ่านทางระบบสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตหรือคอมพิวเตอร์ หรือเพื่อทบทวนวงเงินสินเชื่อ รวมทั้งการติดตามทวงถามหนี้ค้างชำระ (หากมี) โดยระบุจำนวนค้างชำระได้ และผู้ถือบัตรจะแจ้งให้บริษัททราบทันทีหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งนี้ สำหรับการติดตามทวงถามหนี้ค้างชำระ (หากมี) นั้น ผู้ถือบัตรรับทราบและตกลงว่าบริษัทจะทำการมอบหมายให้กับบุคคลอื่นเพื่อดำเนินการแทนบริษัท หรืออาจจะดำเนินการด้วยตนเองก็ได้ รวมถึงตกลงให้บริษัทสามารถรับชำระหนี้ใดๆ ตามบัตรของผู้ถือบัตรจากบุคคลอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์ในการติดตามทวงถามหนี้ค้างชำระของผู้ถือบัตร ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของบริษัทซึ่งอยู่ภายใต้ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.14 ผู้ถือบัตรจะต้องแจ้งให้บริษัททราบทันทีในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล อาชีพ สถานที่ทำงาน สถานที่อยู่ และรายละเอียดอื่นๆ ทั้งนี้ บรรดาเอกสารหรือหนังสือใดๆ ที่บริษัทส่งไปยังผู้ถือบัตร หากส่งไปยังที่อยู่และ/หรือที่ทำงานตามที่ผู้ถือบัตรได้แจ้งไว้ ให้ถือว่าส่งให้ผู้ถือบัตรแล้วโดยชอบ
1.15 หากบริษัทมิได้แจ้งยกเลิก เรียกคืน หรือระงับการใช้บัตรตามข้อ 2.2 ผู้ถือบัตรสามารถนำบัตรนี้ไปใช้ได้จนถึงวันที่บัตรหมดอายุซึ่งได้กำหนดไว้บนบัตรโดยการพิจารณาอนุมัติบัตรใหม่ให้กับผู้ถือบัตรนั้นจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัท ซึ่งบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไม่ต่ออายุบัตรให้กับผู้ถือบัตรที่คุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ ทั้งนี้ หากบริษัทพิจารณาต่ออายุบัตรให้ ผู้ถือบัตรตกลงยอมรับการต่ออายุบัตรนั้นโดยการขอเปิดใช้บัตรตามวิธีที่บริษัทกำหนด หรือในกรณีที่บริษัทไม่ต่ออายุบัตรให้ถือว่าสิทธิ์ของผู้ถือบัตรตามสัญญานี้สิ้นสุดลงโดยผู้ถือบัตรมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ใดๆ ที่คงค้างตามสัญญานี้ต่อไปจนกว่าจะชำระครบถ้วนหมดสิ้นทั้งจำนวน
1.16 ผู้ถือบัตรสามารถแจ้งบริษัทเพื่อยกเลิกการใช้บัตรเมื่อใดก็ได้โดยแจ้งไปยังบริษัทและ/หรือ โดยการตัดบัตรออกเป็น 2 ส่วนและส่งคืนไปยังบริษัท ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสามารถร้องขอค่าธรรมเนียมรายปีตามส่วนของระยะเวลาที่ยังมิได้ใช้บริการคืนจากบริษัทโดยจะต้องทำเรื่องขอคืนค่าธรรมเนียมภายใน 1 ปีนับจากวันที่แจ้งยกเลิก
1.17 ผู้ถือบัตรตกลงและยินยอมให้บริษัทนำเงินที่ได้รับชำระจากผู้ถือบัตรไปหักจากยอดเงินที่บริษัทเรียกเก็บโดยมีเงื่อนไขการชำระเงินและลำดับการหักยอดเงินตามที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตที่บริษัทจัดส่งให้กับผู้ถือบัตร
2. สิทธิหน้าที่ของบริษัท
2.1. บริษัทไม่รับผิดชอบในกรณีที่ธนาคาร ร้านค้า หรือผู้ประกอบการไม่รับบัตรหรือปฏิเสธการรับบัตรของผู้ถือบัตรในการทำธุรกรรมต่างๆ และบริษัทไม่รับผิดชอบในข้อตกลงหรือเงื่อนไขใดๆ ที่เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าหรือบริการซึ่งผู้ถือบัตรได้ทำไว้กับร้านค้าหรือสถานที่เหล่านั้น ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรตกลงว่าบริษัทมีสิทธิ์ระงับบัตรของผู้ถือบัตรในกรณีที่่ผู้ถือบัตรใช้บัตรในการทำธุรกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมถึงการใช้บัตรใดๆ ที่เป็นไปในลักษณะเชิงพาณิชย์ หรือมีลักษณะการใช้บัตรที่ไม่เหมาะสม
2.2. บริษัทสงวนสิทธิ์ในการลดวงเงิน พิจารณาไม่ต่ออายุบัตร ระงับสิทธิ์การใช้ และ/หรือยกเลิกหรือเพิกถอนการเป็นผู้ถือบัตร (ทั้งบัตรหลักและ/หรือบัตรเสริม) เมื่อใดก็ได้ในกรณีที่เกิดเหตุแห่งการผิดสัญญา หรือเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญาเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ขึ้น ทั้งนี้ บริษัทจะแจ้งการระงับหรือเพิกถอนดังกล่าวให้ผู้ถือบัตรทราบ และมีผลใช้บังคับทันที โดยผู้ถือบัตรยังคงต้องรับผิดชอบในยอดคงค้างที่ยังไม่ได้ชำระให้กับบริษัทภายในเวลาที่บริษัทกำหนดในหนังสือแจ้งการระงับหรือเพิกถอนสิทธิ์ดังกล่าว
(ก) ผู้ถือบัตรแจ้งข้อความอันเป็นเท็จในการสมัครเป็นผู้ถือบัตรไม่ว่าข้อความอันเป็นเท็จนั้นจะได้ปรากฎขึ้นหรือเป็นที่รับทราบของบริษัทก่อน หรือภายหลังการออกบัตรให้ผู้ถือบัตร
(ข) ผู้ถือบัตรไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัญญานี้
(ค) ผู้ถือบัตรผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้างชำระเมื่อถึงกำหนดชำระไม่ว่ากับบริษัทหรือบุคคลใดๆ หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้างชำระกับบริษัทเมื่อถึงกำหนดชำระเป็นจำนวนรวมกันตั้งแต่ 2 งวดขึ้นไปภายในรอบ 6 เดือน
(ง) เกิดการเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินของผู้ถือบัตรหรือรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ (หรือผู้ถือบัตรมีภาระหนี้หรือวงเงินไม่ว่ากับบริษัทหรือสถาบันการเงินอื่นสูงเกินกว่ารายได้) และบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถือบัตรเป็นผู้มีฐานะการเงินไม่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรหรือผู้ถือบัตรประสบปัญหาอื่นใดอันเป็นสาระสำคัญ ซึ่งมีผลต่อการชำระหนี้ของผู้ถือบัตร
(จ) บริษัทพบว่าผู้ถือบัตรใช้บัตรผิดวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในสัญญานี้และ/หรือมีพฤติกรรมหรือคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมในการใช้บัตรหรือเป็นสมาชิกผู้ถือบัตร (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการนำสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นสมาชิกบัตรไปโอนและ/หรือจำหน่าย (ไม่ว่าได้รับค่าตอบแทนหรือไม่) ให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท) รวมถึงการใช้บัตรเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ หรือมีพฤติกรรมการใช้บัตรในทางฉ้อฉล หรือทุจริต หรือเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการปลอมและการใช้เอกสารปลอมในการขอใช้บัตร และ/หรือการกระทำอันมีลักษณะฟอกเงิน) หรือเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(ฉ) ผู้ถือบัตรถูกฟ้องในคดีแพ่ง หรือคดีล้มละลาย หรือถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญา หรือเป็นบุคคลที่ถูกหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานที่มีอำนาจมีคำสั่งให้ยึด/อายัดทรัพย์ หรือมีพฤติกรรมอันถือได้ว่าเป็นการฉ้อฉลบริษัทหรือสถาบันการเงินอื่น
(ช) ผู้ถือบัตรเสียชีวิต สาบสูญ หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือตกเป็นบุคคลล้มละลายตามคำพิพากษาตามแต่กรณี
(ซ) ผู้ถือบัตรไม่แสดงหรือไม่สามารถแสดงหลักฐานเงินได้ขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกำหนดภายในระยะเวลาที่บริษัทกำหนด
(ฌ) เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย กฎกระทรวงและ/หรือประกาศของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญแก่การประกอบกิจการของบริษัทและ/หรือการให้บริการของบริษัทตามสัญญาฉบับนี้หรือบริษัทตัดสินใจยกเลิกการให้บริการบัตรเครดิตตามสัญญานี้
(ญ) ในกรณีที่ผู้ถือบัตรไม่มียอดคงค้าง ไม่มีค่าใช้จ่ายผ่ายบัญชีของผู้ถือบัตร ไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชี ไม่ได้มีการติดต่อกับบริษัท และ/หรือบริษัทไม่สามารถติดต่อผู้ถือบัตรได้ (กรณีใดกรณีหนึ่ง) เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 12 เดือน หรือระยะเวลาอื่นใดตามที่บริษัทกำหนด
(ฎ) กรณีอื่นๆ ตามที่บริษัทจะประกาศให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่บัตรหลักถูกระงับหรือถูกยกเลิก (รวมถึงกรณีที่ไม่ได้รับการต่ออายุบัตร) จะมีผลทำให้บัตรเสริมถูกระงับและ/หรือถูกยกเลิกพร้อมกันกับบัตรหลักทันที
2.3. ในระหว่างที่มีเหตุแห่งการผิดสัญญา หรือเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญาเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้น (นอกเหนือจากสิทธิ์ในการลดวงเงิน พิจารณาไม่ต่ออายุบัตร ระงับสิทธิ์การใช้ และ/หรือยกเลิกหรือเพิกถอนการเป็นผู้ถือบัตรเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งตามที่ระบุในข้อ 2.2 ข้างต้นแล้ว) บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกสิทธิพิเศษหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ ที่ได้ให้กับผู้ถือบัตร (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีและ/หรือกรณีการที่ผู้ถือบัตรได้รับอัตราค่าธรรมเนียมสินเชื่อในอัตราพิเศษ) โดยเมื่อมีเหตุแห่งการผิดสัญญาหรือเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญาเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้น บริษัทสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมสินเชื่อพิเศษที่ผู้ถือบัตรได้รับให้เป็นอัตราค่าธรรมเนียมสินเชื่อในอัตราสูงสุดที่บริษัทสามารถเรียกเก็บได้ในขณะนั้น จนกว่าแห่งการผิดสัญญาหรือเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญานั้นจะได้ถูกแก้ไข โดยไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยและ/หรือค่าธรรมเนียมที่บริษัทต้องแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบล่วงหน้า
2.4. บริษัทมีสิทธิ์ที่จะโอนสิทธิหน้าที่และผลประโยชน์ใดๆ ตามสัญญาฉบับนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่บุคคลอื่นได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมใดๆจากผู้ถือบัตร อย่างไรก็ตาม บริษัทจะแจ้งการโอนเป็นหนังสือไปยังผู้ถือบัตร
2.5. บริษัทมีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงงวดบัญชีของผู้ถือบัตรโดยจะแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันและให้ถือว่าหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรนั้นถึงกำหนดชำระตามที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีโดยไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่
2.6. บริษัทสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและเงื่อนไขของการใช้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียม ค่าบริการต่างๆ ได้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกการให้บริการใดๆ หรือเพิกถอนสิทธิประโยชน์ของบัตรไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เฉพาะต่อผู้ถือบัตรรายใดรายหนึ่งได้ โดยบริษัทจะแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบล่วงหน้าก่อนจะถือปฏิบัติไม่น้อยกว่าสามสิบ (30) วัน โดยปิดประกาศที่สำนักงานหรือสาขาของบริษัท หรือทาง www.krungsricard.com เว้นแต่ในกรณีเร่งด่วน บริษัทจะแจ้งให้ทราบทางจดหมาย หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือประกาศทางเว็บไซต์ของบริษัท หรือประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ด (7) วัน และแจ้งให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นเป็นประโยชน์หรือลดภาระแก่สมาชิกซึ่งมีผลใช้บังคับได้ทันที บริษัทจะแจ้งให้สมาชิกทราบเป็นลายลักษณ์อักษรภายในสามสิบ (30) วันหลังมีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนด และเงื่อนไขฉบับนี้ และผู้ถือบัตรตกลงผูกพันตามข้อกำหนดและเงื่อนไขใหม่ที่ได้แจ้งให้ทราบแล้วโดยไม่ต้องทำเอกสารหลักฐานใดๆ แก่บริษัทอีกทั้งสิ้น
2.7. การล่าช้าหรืองดเว้นใดๆ ในการใช้สิทธิ์ของบริษัทตามกฎหมาย หรือตามข้อกำหนดและเงื่อนไขนั้น ไม่ถือว่าบริษัทสละสิทธิ์ หรือให้ความยินยอมในการดำเนินการใดๆแก่ผู้ถือบัตรแต่ประการใด
3. ค่าธรรมเนียมการใช้บัตร
ผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้
3.1. การใช้บัตรเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าหรือใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการต่างๆ แทนการชำระเงินสดผู้ถือบัตรตกลงที่จะชำระคืนให้แก่บริษัทพร้อมกับค่าธรรมเนียม (ถ้ามี) โดยที่ยอดชำระขั้นต่ำในแต่ละงวดต้องไม่น้อยกว่าอัตราที่บริษัทประกาศใช้ ณ ขณะนั้น
3.2. ในกรณีผู้ถือบัตรไม่สามารถชำระเงินครบถ้วนเต็มจำนวนตามใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตในคราวเดียวกันภายในวันที่ถึงกำหนดชำระถือว่าผู้ถือบัตรขอผ่อนเวลาการชำระหนี้ส่วนที่เหลือโดยตกลงที่จะชำระ ก) ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในยอดหนี้ทั้งจำนวนโดยคิดคำนวณจากวันที่มีการบันทึกรายการ/วันที่ได้รับเงินต้น (ตามแต่กรณี) จนถึงวันที่ผู้ถือบัตรชำระหนี้บางส่วน และ ข) ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินในยอดหนี้ค้างชำระที่เหลืออยู่ ทั้งนี้ สำหรับอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมนั้นให้เป็นไปตามอัตราที่บริษัทกำหนด ทั้งนี้ ไม่เกินอัตราสูงสุดที่บริษัทจะเรียกเก็บได้ตามที่กฎหมายกำหนดในขณะนั้น โดยบริษัทจะคำนวณดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมดังกล่าว นับจากวันที่บริษัทจ่ายเงินให้ร้านค้าจนถึงวันที่ผู้ถือบัตรชำระหนี้ครบถ้วน (ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินรวมกันเรียกว่า “ค่าธรรมเนียมสินเชื่อ”)
3.3. กรณีที่ ผู้ถือบัตรทำธุรกรรมใดๆ ที่เข้าลักษณะการผ่อนชำระเงินต้นที่ใช้จ่ายผ่านบัตร (หรือเบิกถอนผ่านบัตร) เป็นรายงวดตามจำนวนเงินและจำนวนงวดที่ตกลงกับบริษัท ผู้ถือบัตรตกลงและรับทราบว่าจำนวนเงินที่ผู้ถือบัตรต้องชำระแต่ละงวดตามที่บริษัทแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบนั้นเป็นการคำนวณเบื้องต้นโดยใช้อัตราดอกเบี้ย/ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินแบบคงที่เพื่อความสะดวกในการคำนวณหาจำนวนยอดเงินที่ผู้ถือบัตรต้องชำระต่อเดือน ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทใช้หลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าธรรมเนียมสินเชื่อแบบลดต้นลดดอก หากผู้ถือบัตรมีการชำระเงินงวดหนึ่งงวดใดน้อยหรือมากกว่าจำนวนที่ระบุข้างต้นและ/หรือมีการชำระไม่ตรงเวลาที่กำหนดจะไม่กระทบจำนวนยอดเงินที่จะชำระในแต่ละงวด (ยกเว้นงวดสุดท้าย) แต่จะมีผลให้จำนวนยอดเงินที่ผู้ถือบัตรต้องชำระในงวดสุดท้ายเพิ่มขึ้นหรือลดลง (ตามแต่กรณี) และ/หรืออาจทำให้จำนวนงวดที่ต้องชำระลดลงหากมีการชำระค่างวดเกินกว่าจำนวนที่กำหนดในแต่ละงวด
3.4. กรณีที่ผู้ถือบัตรชำระหนี้ตามบัตรโดยการใช้เช็ค และปรากฎว่าเช็คดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้ถือบัตรตกลงเสียค่าปรับกรณีเช็คคืนในอัตราที่บริษัทกำหนดแต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่บริษัทจะเรียกเก็บได้ตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
3.5. ผู้ถือบัตรตกลงที่จะชำระค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัตรตามที่ได้มีการระบุไว้ในใบสมัคร และในตารางค่าธรรมเนียม (หรือที่จะได้มีการแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมในภายหน้า) ให้กับบริษัท (ถ้ามี) ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังกล่าวจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาต ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรรับทราบว่าบริษัทจะทำการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปีตามอัตราที่ระบุในตารางค่าธรรมเนียมจากผู้ถือบัตร ในกรณีที่ผู้ถือบัตรไม่มียอดคงค้าง ไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านบัญชีของผู้ถือบัตร ไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชี ไม่ได้มีการติดต่อกับบริษัท และ/หรือบริษัทไม่สามารถติดต่อผู้ถือบัตรได้ (กรณีใดกรณีหนึ่ง) เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 12 เดือน
3.6. นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมตามข้อ 3.5 แล้ว ในการใช้บัตรชำระค่าสินค้าและ/หรือบริการรวมถึงการเบิกเงินสดนั้น ในกรณีที่การทำรายการต่างๆ ดังกล่าวมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายโดยผู้ประกอบการหรือร้านค้า โดยทำการเรียกเก็บผ่านทางบัญชีบัตร ผู้ถือบัตรตกลงและรับทราบว่าผู้ถือบัตรได้รับทราบถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ณ ขณะทำรายการหรือใช้บัตรและตกลงที่จะชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังกล่าวที่เกิดขึ้น
3.7. หากมีการติดตามทวงถามหนี้อันเกิดจากการใช้บัตร ผู้ถือบัตรตกลงรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้บริษัทเต็มตามจำนวน ซึ่งรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีตามกฎหมาย ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในการที่บริษัทจะใช้สิทธิ์ตามกฎหมายบังคับให้ผู้ถือบัตรชำระหนี้ตามความในสัญญานี้
4. ข้อกำหนดและเงื่อนไขการซื้อสินค้า/บริการแบบผ่อนชำระ
เว้นแต่จะตกลงเป็นอย่างอื่น ข้อกำหนดและเงื่อนไขนี้ใช้บังคับกับผู้ถือบัตรที่ซื้อสินค้าและ/หรือชำระค่าบริการแบบผ่อนชำระเป็นงวดๆ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญานี้
4.1. ผู้ถือบัตรอาจใช้บัตรซื้อสินค้าและ/หรือใช้บริการจากสถานประกอบการ และ/หรือร้านค้าที่ร่วมรายการ (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “ร้านค้า”) แบบผ่อนชำระโดยผู้ถือบัตรตกลงที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) สินค้าและ/หรือบริการนั้นจะต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าที่บริษัทและ/หรือร้านค้ากำหนด
(2) บริษัทจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดำเนินการสำหรับสินค้าหรือบริการบางประเภท (ถ้ามี) ค่าธรรมเนียมอื่นใดนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมตามที่ระบุในข้อ 3. ซึ่งจะคำนวณระยะเวลาและเงื่อนไขที่ตกลงกัน ซึ่งเมื่อรวมกับค่าสินค้าหรือบริการแล้วจะเป็นยอดเงินทั้งหมดที่ผู้ถือบัตรจะต้องผ่อนชำระ
(3) ผู้ถือบัตรตกลงผ่อนชำระค่าสินค้าและ/หรือบริการเป็นรายงวดตามที่ตกลงกับบริษัทและ/หรือร้านค้า ทั้งนี้ จำนวนงวดการชำระ และ/หรือจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในงวดสุดท้ายอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับจำนวนเงินและระยะเวลาในการชำระเงินในแต่ละงวดของผู้ถือบัตร
(4) ในการซื้อสินค้าหรือใช้บริการแต่ละคราว ผู้ถือบัตรจะต้องปฏิบัติตามวิธีการใช้บัตรชำระแทนเงินสดของช่องทางการชำระเงินของร้านค้านั้น ซึ่งผู้ถือบัตรต้องลงลายมือชื่อในเอกสารหรือบนอุปกรณ์อื่นใดตามแบบที่บริษัทกำหนด หรือปฏิบัติตามขั้นตอนโดยวิธีอื่นโดยไม่ต้องลงลายมือชื่อในเอกสารหรืออุปกรณ์อื่นใด เพื่อยืนยันการซื้อสินค้า หรือใช้บริการโดยการใช้สินเชื่อตามสัญญาฉบับนี้
(5) ผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทชำระค่าสินค้าและ/หรือบริการให้แก่ผู้ขายสินค้า และ/หรือผู้ให้บริการแทนผู้ถือบัตร และให้ถือว่าผู้ถือบัตรได้รับเงินต้น/สินเชื่อแล้วโดยสมบูรณ์เมื่อผู้ถือบัตรได้รับสินค้าและ/หรือบริการจากผู้ขายสินค้าและ/หรือผู้ให้บริการเรียบร้อยแล้ว หรือเมื่อบริษัทชำระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายสินค้า และ/หรือผู้ให้บริการ (แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน) โดยถือว่าหลักฐานการจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายสินค้าและ/หรือผู้ให้บริการเป็นหลักฐานแห่งการใช้เงินสินเชื่อโดยชอบของผู้ถือบัตร
4.2. ผู้ถือบัตรต้องปฏิบัติตามวิธีการใช้บัตรชำระแทนเงินสดตามวิธีการที่กำหนดอยู่ ณ ร้านค้านั้น หรือแสดงบัตรต่อพนักงานของร้านค้าและลงลายมือชื่อในเอกสารการขายหรือการให้บริการ (Sale Slip) หรือบนอุปกรณ์อื่นใด เพื่อเป็นหลักฐานในการใช้บัตรแทนการชำระเงิน เว้นแต่กรณีที่บริษัทหรือร้านค้ากำหนดไว้เป็นการเฉพาะว่าไม่ต้องลงลายมือชื่อในเอกสารการขายหรืออุปกรณ์อื่นใด (แล้วแต่กรณี) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ผู้ถือบัตรยอมรับว่าเป็นการใช้บัตรชำระแทนเงินสดโดยสมบูรณ์แล้ว
4.3. ภายใต้หลักเกณฑ์ในข้อ 3.3 ในกรณีที่ผู้ถือบัตรต้องการชำระค่างวดสินค้าที่ผ่อนชำระในคราวเดียว ผู้ถือบัตรจะต้องติดต่อบริษัทเพื่อสอบถามยอดชำระปิดบัญชีล่วงหน้า และจะต้องชำระเงินที่คงค้างทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย และ/หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินสำหรับงวดผ่อนชำระที่เหลือทั้งหมด
4.4. บริษัทไม่รับผิดชอบในความชeรุดบกพร่องของสินค้าใดๆ ซึ่งผู้ถือบัตรซื้อ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนหรือคืนสินค้า ผู้ถือบัตรตกลงที่จะปฏิบัติตามระเบียบและหรือข้อกำหนดในการเปลี่ยนหรือคืนสินค้าของร้านค้าหรือสถานประกอบการนั้นๆ
4.5. ผู้ถือบัตรอาจทำรายการผ่อนชำระค่าสินค้าและ/หรือบริการผ่านทางโทรศัพท์และ/หรือผ่านเว็บไซต์ และ/หรือผ่านทางโปรแกรมออนไลน์ที่จัดให้มีโดยบริษัทบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ/หรือช่องทางอื่นๆ ที่บริษัทแจ้งให้ทราบได้ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริษัท ทั้งนี้ เว้นแต่ข้อกำหนดและเงื่อนไขในเรื่องดังกล่าวจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นผู้ถือบัตรตกลงว่าให้นำข้อกำหนดตามข้อ 4 ข้อ 5 และข้อ 7 ของสัญญานี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม
5. ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บริการและธุรกรรมทางโทรศัพท์
5.1. ผู้ถือบัตรสามารถใช้รหัสประจำตัวของผู้ถือบัตร ซึ่งใช้กับบัตรตามที่ผู้ถือบัตรกำหนดด้วยตนเองตามวิธิการที่บริษัทกำหนด หรือที่บริษัทจัดส่งให้กับผู้ถือบัตรตามที่ผู้ถือบัตรร้องขอ หรือที่ผู้ถือบัตรลงทะเบียนได้มา หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่จะได้มีการเปลี่ยนแปลงในภายหน้าในการใช้บริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์หรือช่องทางอื่นใดของบริษัท ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสัญญาว่าจะรักษารหัสดังกล่าวไว้เป็นความลับแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หากผู้ถือบัตรประสงค์จะเปลี่ยนรหัสดังกล่าวก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้บริษัททราบ
5.2. ผู้ถือบัตรตกลงยินยอมรับผิดชอบในการกระทำใดๆ ที่ดำเนินการผ่านบริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์โดยใช้รหัสประจำตัวของผู้ถือบัตร และ/หรือที่ได้ทำผ่านโทรศัพท์โดยการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท (ซึ่งจะได้มีการตรวจสอบยืนยันข้อมูลส่วนตัวของผู้ถือบัตร) และ/หรือช่องทางอื่นใดที่บริษัทกำหนดหรือจัดทำขึ้น รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการขอเบิกใช้เงินสดล่วงหน้า หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคล โดยให้ถือว่าเมื่อได้ทำธุรกรรมหรือคำร้องขอใดๆ แล้วให้มีผลผูกพันผู้ถือบัตรโดยไม่อาจเพิกถอนได้ เว้นแต่จะทำเป็นหนังสือยืนยันการเพิกถอนธุรกรรมนั้นๆ และให้ผลแห่งการกระทำใดๆ ที่กระทำผ่านทางโทรศัพท์มีผลผูกพันทั้งผู้ถือบัตรหลักและบัตรเสริมทุกประการ
5.3. ผู้ถือบัตรตกลงยอมรับว่าบรรดาคู่มือวิธีการใช้บริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์ เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริการดังกล่าว ทั้งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ หรือที่จะมีต่อไป (หรือแก้ไข) ในภายหน้าซึ่งบริษัทได้มอบหรือจัดส่งให้แก่ผู้ถือบัตร รวมทั้งคำสั่ง คำแนะนำ คำตอบรับ หรือธุรกรรมใดๆ ทางเครื่องโทรศัพท์ซึ่งผู้ถือบัตรใช้ในการดำเนินการต่างๆ นั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดและเงื่อนไขตามสัญญานี้ด้วย
5.4. ผู้ถือบัตรตกลงชำระค่าธรรมเนียมการใช้บริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์หรือช่องทางอื่นใด (ถ้ามี) ตามกำหนดเวลาและอัตราที่บริษัทกำหนด โดยบริษัทสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมการใช้บริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์ หรือช่องทางอื่นใด ตามอัตราที่บริษัทกำหนดเมื่อใดก็ได้ โดยบริษัทจะดำเนินการแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน
5.5. ผู้ถือบัตรรับทราบว่าในการทำธุรกรรมใดๆ ผ่านทางโทรศัพท์ (รวมถึงการติดต่อใดๆ กับบริษัทผ่านทางโทรศัพท์) หรือช่องทางอื่นใด นั้นอาจมีการบันทึกเสียงหรือบันทึกข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการตรวจสอบหรือใช้เป็นหลักฐาน โดยผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทสามารถบันทึกเสียงและข้อมูลดังกล่าวได้ และสามารถให้ใช้บันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานอ้างอิงในการทำธุรกรรมใดๆ ระหว่างบริษัทกับผู้ถือบัตร
6. ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บัตรกับเครื่องฝาก -ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM)
6.1. ผู้ถือบัตรสามารถนำบัตรไปใช้บริการต่างๆ ผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งในและต่างประเทศตามแต่คุณสมบัติของแต่ละประเภทบัตรที่บริษัทกำหนด ผู้ถือบัตรต้องใช้รหัสประจำตัว (PIN) ที่ผู้ถือบัตรกำหนดด้วยตนเองตามวิธิการที่บริษัทกำหนด หรือที่บริษัทจัดส่งให้กับผู้ถือบัตรตามที่ผู้ถือบัตรร้องขอ หรือที่ผู้ถือบัตรลงทะเบียนได้มา หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบการใช้บัตรผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ทุกครั้ง ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสัญญาว่าจะรักษารหัสดังกล่าวไว้เป็นความลับแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หากผู้ถือบัตรประสงค์จะเปลี่ยนรหัสดังกล่าวก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้บริษัททราบ
6.2. ผู้ถือบัตรจะใช้บัตรทำรายการต่างๆ ได้ไม่เกินจำนวนครั้ง และจำนวนเงินที่บริษัทกำหนด และกรณีการใช้บริการผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) หากผู้ถือบัตรกดรหัสผิดเกินกว่าจำนวนที่ผู้ให้บริการเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) แต่ละรายกำหนด ผู้ถือบัตรจะไม่สามารถทำรายการใดๆ ผ่านบัตรได้อีก จนกว่าผู้ถือบัตรติดต่อกับบริษัท
6.3. ในการใช้บัตรเพื่อเบิกเงินสด ผู้ถือบัตรตกลงยอมผูกพันตามข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ตามสัญญานี้ และให้ถือว่า (1) ใบบันทึกรายการดังกล่าว และ/หรือ (2) ข้อมูลที่บริษัทได้รับจากระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารเจ้าของเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) เป็นหลักฐานการได้รับเงินของผู้ถือบัตรตามสัญญาฉบับนี้แล้ว
6.4. ในการทำธุรกรรมผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) อาจจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการโดยสถาบันการเงินผู้ให้บริการเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ดังนั้น ผู้ถือบัตรควรศึกษารายละเอียดค่าธรรมเนียมดังกล่าวก่อนทำรายการโดยบริษัทจะถือว่าในการทำรายการของผู้ถือบัตรนั้น ผู้ถือบัตรตกลงและรับทราบในค่าธรรมเนียมดังกล่าวและผู้ถือบัตรตกลงยินยอมชำระค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกี่ยวกับการใช้บริการผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และตกลงยินยอมให้บริษัทหักเงินจากบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรได้ตามอัตราและกำหนดเวลาที่บริษัทกำหนด
7. ข้อกำหนดและเงื่อนไขการทำธุรกรรมและ/หรือการใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท หรือระบบโปรแกรมทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ของบริษัท
7.1. ผู้ถือบัตรสามารถใช้บริการบางประเภทผ่านทางเว็บไซต์ หรือระบบโปรแกรมทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ของทางบริษัท (ตามที่มีให้บริการอยู่ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง) ได้โดยทำการลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ หรือระบบโปรแกรมทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ของบริษัท โดยผู้ถือบัตรจะต้องใช้รหัสประจำตัวที่ได้รับจากการลงทะเบียน (หรือที่ผู้ถือบัตรเป็นผู้กำหนดด้วยตนเองตามวิธีการที่บริษัทกำหนด) ในการทำธุรกรรมหรือใช้บริการต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ หรือระบบโปรแกรมทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ของบริษัท
7.2. ผู้ถือบัตรรับทราบว่าในการทำธุรกรรมและ/หรือใช้บริการใดๆ ผ่านทางเว็บไซต์ หรือระบบโปรแกรมทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ของบริษัท ผู้ถือบัตรตกลงยอมรับและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้เว็บไซต์ดังกล่าวทุกประการ และให้ถือว่าการกระทำดังกล่าวมีผลผูกพันผู้ถือบัตรตามสัญญาฉบับนี้แล้วโดยไม่จำต้องทำเป็นเอกสารลงลายมือชื่อของผู้ถือบัตรอีก
7.3. ผู้ถือบัตรรับทราบว่าในการทำธุรกรรมและ/หรือใช้บริการใดๆ ผ่านทางเว็บไซต์ หรือระบบโปรแกรมทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ของบริษัทนั้น อาจมีการบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมดังกล่าวเพื่อใช้ในการตรวจสอบและสามารถให้ใช้บันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานอ้างอิงในการทำธุรกรรมใดๆ ระหว่างบริษัทกับผู้ถือบัตรโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือบัตรอีก
8. ข้อกำหนดและเงื่อนไขเกี่ยวกับคะแนนสะสมและการแลกของรางวัล
8.1. ผู้ถือบัตรตกลงและรับทราบว่าบริษัทอาจจัดให้มีรายการคะแนนสะสม หรือรายการผลประโยชน์เป็นครั้งคราวอันเนื่องมาจากการใช้บัตรของผู้ถือบัตร ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของรายการนั้นๆ ตามที่บริษัทจะได้แจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรตกลงผูกพันตามข้อกำหนดต่างๆ ดังกล่าวที่เกี่ยวข้องและให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาฉบับนี้
8.2. ผู้ถือบัตรตกลงว่าบรรดาสิทธิประโยชน์และ/หรือสิทธิพิเศษใดๆ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงสิทธิพิเศษจากรายการส่งเสริมการขาย รายการคะแนนสะสม หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่บริษัทจะจัดให้กับผู้ถือบัตรนั้น นอกเหนือจากที่ได้มีการระบุไว้ในเงื่อนไขของรายการนั้นๆ ผู้ถือบัตรตกลงว่าบริษัทมีสิทธิ์ที่จะมอบสิทธิประโยชน์และ/หรือสิทธิพิเศษต่างๆ ดังกล่าวให้แก่ผู้ถือบัตรที่ปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไข (หากมี) เว้นแต่กรณีที่บัญชีของผู้ถือบัตรถูกระงับหรือยกเลิก (ไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวร) หรือผู้ถือบัตรมีประวัติการชำระเงินไม่ดี หรือมีการใช้บัตรเพื่อการพาณิชย์หรือเพื่อการใดๆ อันผิดวัตถุประสงค์การใช้บัตรเครดิต ผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการชำระเงินเข้าบัญชีบัตรเกินกว่ายอดที่ต้องชำระโดยมีเจตนาที่จะรับสิทธิประโยชน์และ/หรือสิทธิพิเศษซึ่งมากกว่าที่ควรได้รับจากการใช้บัตรภายในวงเงินที่บริษัทอนุมัติ หรือกรณีที่ผู้ถือบัตรกระทำผิดข้อกำหนดและเงื่อนไขใดๆ ตามสัญญานี้
สัญญาฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับและตีความตามกฎหมายของประเทศไทย ในกรณีที่มีการจัดทำขึ้นทั้งฉบับภาษาไทยและฉบับภาษาอังกฤษ หากมีข้อความขัดแย้งกัน ให้ใช้สัญญาฉบับภาษาไทยเป็นหลักในการบังคับใช้และตีความ