สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือการพักผ่อนให้เพียงพอ และเมื่อเกิดอาการไม่สบาย การไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เรากลับมาแข็งแรงได้อย่างเร็วขึ้น
แต่การเข้าพบแพทย์แต่ละครั้ง ย่อมมีค่าใช้จ่ายจากการเข้ารับบริการแบบผู้ป่วยนอก (OPD) เช่น ค่าตรวจวินิจฉัย ค่ายา และค่าแพทย์ ก็อาจสะสมจนกลายเป็นภาระที่ไม่คาดคิด ดังนั้น ประกัน OPD จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเมื่อต้องพบแพทย์ได้เป็นอย่างดี
หากคุณอยากรู้ว่า OPD คืออะไร ? ประกัน OPD คุ้มครองอะไรบ้าง ? และควรเลือกแผนแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุด บทความนี้มีคำตอบ
OPD คืออะไร ต่างจาก IPD อย่างไร ?
OPD ย่อมาจาก Out Patient Department หรือที่เรียกว่า “ผู้ป่วยนอก” คือ การรักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล เช่น การพบแพทย์ทั่วไป การตรวจรักษาโรค การทำหัตถการ และการรับยา ที่สามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว
ความแตกต่างระหว่าง OPD และ IPD มีดังนี้
OPD (Outpatient Department)
- ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการตรวจรักษากับแพทย์และรับยาได้ โดยไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล
- เหมาะสำหรับอาการเจ็บป่วยทั่วไป เช่น ไข้หวัด ปวดศีรษะ หรืออาการที่ไม่รุนแรง
- ใช้เวลาไม่นาน หลังจากรับการรักษาสามารถกลับบ้านได้ทันที
- เบี้ยประกันถูกกว่า IPD
IPD (Inpatient Department)
- ผู้ป่วยต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 6 ชั่วโมงขึ้นไป
- เหมาะสำหรับอาการรุนแรงหรือโรคที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น การผ่าตัด อุบัติเหตุหนัก หรือโรคร้ายแรง
- ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์และพยาบาลอย่างต่อเนื่องเพื่อเฝ้าระวังอาการ
- เบี้ยประกันค่อนข้างสูง เนื่องจากครอบคลุมค่าห้องพักและค่าดูแล
ประกันผู้ป่วยนอก OPD คืออะไร ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายอย่างไร ?
ประกัน OPD คือ ประกันสุขภาพประเภทหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก โดยผู้เอาประกันไม่จำเป็นต้องสำรองจ่ายเอง หรือสามารถเบิกคืนได้ตามวงเงินที่กำหนดในกรมธรรม์
ประกัน OPD มักครอบคลุมค่าใช้จ่ายดังนี้
- ค่าปรึกษาแพทย์ทั่วไปและแพทย์เฉพาะทาง
- ค่าตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวนด์
- ค่ายาและเวชภัณฑ์ที่ได้รับจากแพทย์
- ค่ากายภาพบำบัดในบางกรณี
ประกัน OPD เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่ต้องพบแพทย์บ่อยครั้ง เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือจำเป็นต้องติดตามอาการต่อเนื่อง
- ผู้ที่ต้องการลดภาระค่ารักษา โดยเฉพาะเมื่อเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเอกชน
- ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการรักษาโดยไม่ต้องสำรองจ่ายเงินก้อนใหญ่
การมีประกัน OPD จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องพบแพทย์เป็นประจำ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ต้องรับการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขอบเขตของความคุ้มครองอาจแตกต่างกันไปตามแผนประกันและเงื่อนไขของแต่ละบริษัท จึงควรตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนก่อนเลือกทำประกัน OPD เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่ามากที่สุด
เลือกประกัน OPD ต้องพิจารณาอย่างไร ?
การเลือกประกัน OPD ที่เหมาะสมกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคุณ มีปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้
วงเงินคุ้มครอง
- ตรวจสอบวงเงินคุ้มครองต่อครั้ง : พิจารณาว่าวงเงินแต่ละครั้งที่เข้ารับการรักษาเพียงพอหรือไม่ โดยเฉลี่ยค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลเอกชนอาจสูงถึง 1,500-3,000 บาทต่อครั้ง
- วงเงินคุ้มครองรวมต่อปี : ตรวจสอบว่าวงเงินรวมตลอดทั้งปีเพียงพอกับความถี่ในการพบแพทย์หรือไม่
- เปรียบเทียบค่าเบี้ยประกันกับวงเงิน : วิเคราะห์ความคุ้มค่าระหว่างค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายกับวงเงินคุ้มครองที่จะได้รับ
โรงพยาบาลและคลินิกที่เข้าร่วม
- เครือข่ายโรงพยาบาล : ตรวจสอบว่าแผนประกันครอบคลุมโรงพยาบาลหรือคลินิกที่สะดวกต่อการเข้ารับบริการ เช่น ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน รวมถึงมีโรงพยาบาลชั้นนำที่มีแพทย์เฉพาะทางที่คุณต้องการอยู่ในเครือข่ายหรือไม่
- ระบบการเคลม : พิจารณาว่าสามารถใช้บริการแบบไม่ต้องสำรองจ่าย (Cashless) ได้หรือไม่ หรือต้องสำรองจ่ายก่อนแล้วนำใบเสร็จมาเบิกคืนภายหลัง
การใช้ร่วมกับประกันสุขภาพหลักและสวัสดิการอื่น
- ประกันสุขภาพหลัก : หากมีประกันสุขภาพที่คุ้มครอง IPD อยู่แล้ว ควรเลือกแผน OPD ที่เสริมความคุ้มครองให้ครบถ้วน
- การใช้ร่วมกับสวัสดิการอื่น : ตรวจสอบว่าสามารถใช้ร่วมกับสวัสดิการบริษัทหรือประกันสังคมได้หรือไม่ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองสูงสุด
ข้อจำกัดและเงื่อนไข
- ระยะเวลารอคอย : บางแผนประกันอาจมีระยะเวลารอคอย (Waiting Period) ก่อนสามารถใช้สิทธิ OPD ได้ โดยทั่วไปอาจเป็น 30-90 วันหลังจากทำประกัน
- โรคที่ไม่คุ้มครอง : ตรวจสอบข้อยกเว้นความคุ้มครอง โดยเฉพาะโรคที่เป็นมาก่อนการทำประกัน (Pre-existing Conditions)
สิทธิพิเศษเมื่อชำระเบี้ยประกันด้วยบัตรเครดิต กรุงศรี
สำหรับผู้ที่ต้องการทำประกัน OPD สามารถเพิ่มความคุ้มค่าได้ด้วย
โปรบัตรเครดิต กรุงศรี ในการชำระเบี้ยประกัน ซึ่งมาพร้อมสิทธิพิเศษ รูดรับคุ้ม ครอบคลุมเรื่องประกัน
รับเครดิตเงินืนไปเลยเมื่อชำระเบี้ยประกันทุกประเภทแบบเต็มจำนวน ทั้งปีแรกและปีต่ออายุ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 20,000 บาท* โดยไม่ต้องแลกคะแนน
การเลือกประกัน OPD ที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่ต้องพบแพทย์ ดังนั้น การมีประกัน OPD จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มาพร้อมโปรโมชันบัตรเครดิตจ่ายเบี้ยประกัน จะยิ่งช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครอง รับการรักษา ที่มาพร้อมความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ
* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
* ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ยสูงสุด 16% ต่อปี
ข้อมูลอ้างอิง:
ดูแลสุขภาพอย่างไรให้สมดุล. สืบค้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 จาก
https://www.matichonweekly.com/publicize/article_771240
